การจัดแบ่งโดยการนำ "น้ำมันหอมระเหย" มาใช้ในรูปแบบที่ละเอียดขึ้น
|
น้ำมันและโลชั่นบำรุงผิว |
การเตรียมน้ำมันหอมระเหยเหมือนวิธีการนวด ยกเว้นควรเติมน้ำมันที่บำรุงลงไปด้วย เช่น น้ำมันโจโจบา อโวคาโด หรือแอปริคอท จุดประสงค์เพื่อรักษาผิวหนังที่มีปัญหาโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่การใช้นิ้วมือนวดเบาๆ เป็นวงกลมก็เป็นการเพียงพอที่จะทำให้น้ำมันซึมซาบเข้าผิวหนัง น้ำมันกุหลาบเหมาะกับผิวหนังที่แห้ง หรือเหี่ยวย่น น้ำมันมะกรูด หรือน้ำมันมะนาวช่วยรักษาสิว และผิวหน้าที่มัน ใช้น้ำมันหอมระเหย 2-3 หยด ผสมกับครีมโลชั่นธรรมดา หรือเติมไปกับที่พอกหน้า เช่น ข้าวโอ๊ต น้ำผึ้งหรือโคลนกับผลไม้ต่างๆในบางกรณี เช่น ติดเชื้อเฮอร์ปีส์ หรือน้ำกัดเท้า ควรใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ หรือเหล้าวอดก้า 5 ซีซี.ทำให้เจือจางด้วยน้ำต้มเดือดและทิ้งให้เย็น 1 ลิตร สามารถรักษาแผลที่เปิดหรือตุ่มใสที่เกิดจากอีสุกอีใสได้ |
การประคบร้อนหรือเย็น |
ได้ผลดีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อลดการปวดหรืออักเสบ การประคบร้อน ทำโดยเทน้ำร้อนจัดๆลงในอ่าง เติมน้ำมันหอมระเหย 4-5 หยด เอาผ้าที่พับแล้วจุ่มลงไป บีบน้ำออกพอหมาด ๆ วางลงบนว่านที่ต้องการจนรู้สึกผ้าเย็นก็ทำซ้ำ วิธีนี้มีประโยชน์ต่อการปวดหลัง ปวดตามข้อและกระดูกบวม ปวดหูและปวดฟัน การประคบเย็น วิธีการเช่นเดียวกันแต่ใช้น้ำเย็นแทนน้ำร้อน เหมาะสำหรับโรคปวดศรีษะ เคล็ด เครียด และการบวมอักเสบ
|
การบำรุงรักษาผม |
อาจจะใช้น้ำมันหอมระเหย 2-3 หยด เมื่อสระผมครั้งสุดท้ายหรือผสมลงในแชมพู วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการบำรุงผม ก็คือ ใช้น้ำมันหอมระเหยประมาณ 3% ผสมกับน้ำมันมะกอกกับโจโจบาหรือน้ำมันอัลมอนด์นวดให้ซึมหนังศีรษะและห่อด้วยผ้าขนหนูอุ่นๆประมาณ 1-2 ชั่วโมง สำหรับน้ำมันโรสแมรี่ และน้ำมันคาโมมายด์ มีคุณสมบัติช่วยปรับสภาพและทำให้ผมงอก น้ำมันลาเวนเดอร์ช่วยไล่เหา น้ำมันมะกรูดช่วยขจัดและควบคุมรังแค
|
การใช้ไอระเหย |
การใช้ที่เผาน้ำมันหรือที่กระจายกลิ่นหอมเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้ห้องมีกลิ่นหอมแทนการใช้ธูปหอม ซึ่งก่อให้เกิดฝุ่นหรือควัน แต่ต้องวางในที่ที่ปลอดภัยและห่างจากเด็กหรือสัตว์เลี้ยง อาจจะหยดน้ำมันหอมระเหยลง 2-3 หยด ที่ขอบโป๊ะหลอดไฟฟ้า หรือหยดลงในชามน้ำที่วางบนเครื่องที่ให้ความร้อน น้ำมันตะไคร้หรือตะไคร้หอมใช้ไล่แมลงและขจัดกลิ่นของบุหรี่ น้ำมันกำยาน หรือน้ำมันยูคาลิปตัส ใช้ในห้องนอนเพื่อช่วยแก้ปัญหาการหายใจขัดหรือแก้ไอในเด็ก |
การสูดไอน้ำ |
วิธีนี้เหมาะกับคนที่เป็นไซนัส หรือติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ โดยเอาผ้าคลุมศีรษะและอ่างที่ใส่น้ำร้อนผสม น้ำมันสะระแหน่หรือน้ำมันไทม์ประมาณ 5 หยด สูดหายใจลึกๆ 1 นาที และทำซ้ำ วิธีนี้อาจใช้อบหน้าได้โดยใช้น้ำมันมะนาวแทน ซึ่งจะช่วยเปิดรูที่อุดตันและลบริ้วรอยบนใบหน้า |
การใช้ภายใน |
เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยเข้มข้นมาก ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากน้ำมันหอมระเหยสามารถถูกดูดซึมเข้าในร่างกายได้ง่ายจึงมีผลต่ออวัยวะภายใน การใช้ภายนอกในกรณีที่เป็นโรคข้ออักเสบ ซึ่งเกิดจาการสะสมพิษที่ข้อต่อการใช้น้ำมันบางชนิด เช่น น้ำมันไพล น้ำมันนิเปอร์ หรือนำมันเบริร์ชสามารถไปชำระล้างพิษ และขณะเดียวกันก็ลดการปวดและอักเสบได้ วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยมีหลายวิธี ดังต่อไปนี้ 1. การบีบ คั้น เป็นการสกัดเย็น โดยวิธีใช้แรงบีบ วิธีนี้ใช้กับพืชกลุ่มที่มีนำมันหอมระเหยมากจะได้น้ำมันหอมระเหยที่เป็นธรรมชาติเพราะไม่ผ่านความร้อน เรียกว่า น้ำมันดิบ แต่ข้อเสียคือ อาจจะมีสิ่งเจือปนมากับพืชที่นำมาสกัด จึงไม่ค่อยบริสุทธิ์ 2. การกลั่น (Distillation) เป็นวิธีที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นวิธีที่ประหยัด และสูญเสียน้ำมันเพียงเล็กน้อยโดยแบ่งออกเป็น 3 วิธีคือ
2.1 การกลั่นโดยใช้ไอน้ำ (Steam Distillation) วิธีคือการนำพืชไปวางในหม้อกลั่นที่มีน้ำอยู่ข้างล่าง ลักษณะคล้ายหม้อนึ่ง เพียงแต่ไม่แยกส่วน แล้วต้มน้ำให้กลายเป็นไอผ่านพืชออกมา น้ำมันหอมระเหยก็จะถูกปล่อยออกมากับไอน้ำผ่านไปตามท่อที่ทำให้ไอน้ำเย็นตัวลงกลายเป็นของเหลวดักเก็บไว้ในขวดจะได้น้ำลอยแยกชั้นอยู่บนน้ำ หรือข้างล่างแล้วแต่คุณสมบัติของน้ำมันนั้นๆ จากนั้นแยกน้ำมันออกมาไว้ใช้ 2.2 การกลั่นโดยใช้พืชแช่ในน้ำ (Water 0r Hydro Distillation) พืชที่ใช้จะเป็นพืชที่ทนต่อความร้อนสูง เช่น พืชแห้ง แข็ง หรือเป็นเปลือกไม้ วิธีคือนำพืชมาแช่ลงในน้ำแล้วให้ความร้อนจนน้ำเดือด เซลล์ของพืชจึงแตกตัว และน้ำมันหอมระเหยจะแยกลอยตัวขึ้นมา 2.3 การกลั่นด้วยไอน้ำภายใต้แรงดันสูง (Vacuum Steam Distillation) วิธีการเหมือนกับการสกัดแบบกลั่นโดยใช้ไอน้ำ แต่อยู่ภายใต้ความดันในภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อเป็นการลดจุดเดือดของน้ำและน้ำมันหอมระเหยให้ต่ำลง ทำให้น้ำมันหอมระเหยไม่ถูกทำลายคุณสมบัติด้วยความร้อนสูงจะได้คุณภาพน้ำมันหอมระเหยที่ดีกว่า 2 วิธีแรก |
3. การสกัดด้วยตัวทำละลาย (Solvent Extraction) แบ่งได้เป็น 3 ประเภท
3.1 ตัวทำลายที่ระเหยได้ (Volatile Solvent) 3.1.1 สารจำพวก Petroleum ether, Hexane - การสกัดเย็น - การสกัดร้อน 3.1.2 สารจำพวก Alcohol 95 % - การสกัดร้อน - การสกัดเย็น 3.2 ตัวทำละลายที่ระเหยไม่ได้ เช่น น้ำมัน หรือไขมันจากพืช สัตว์ เหมาะสำหรับดอกไม้ที่มีน้ำมันหอมระเหยน้อย 3.2.1 Maceration เป็นการสกัดโดยวิธีแช่พืชหรือดอกไม้ไว้ในน้ำมันพืช หรือน้ำมันจากสัตว์ ตั้งที่อุณหภูมิห้อง หรือใช้ความร้อน 70 C จะได้สารประกอบของพืชที่ละลายในน้ำมัน เรียกการสกัดที่ได้ว่า Oil Extract 3.2.2 Enflurage เป็นวิธีสกัดโดยใช้ไขมันแข็งจากพืชหรือสัตว์มาวางบนภาชนะแก้วที่มีฝาปิด แล้วนำพืช หรือดอกไม้มาวางไว้บนไขมันแข็ง ปิดฝาทิ้งไว้ให้ดอกไม้รำเพยกลิ่นออกมา กลิ่นซึ่งเป็นน้ำมันหอมระเหยจะถูกดูดซับไว้ในไขมันแข็งเรียกว่า Pommade แล้วจึงนำมาแยกเอาน้ำมันออกจากไขมันแข็งโดยสกัดด้วย Absolut alcohol จะได้ Absolut Oil และได้น้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นธรรมชาติ 3.3 สารละลายที่เป็นก๊าซ (Innert Gas) เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ โดยปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกทำให้เป็นของเหลวที่ความดันสูง ผ่านพืช หรือดอกไม้ ก๊าซคาร์บอนจะพาเอาน้ำมันหอมระเหยออกมาจากพืช แล้วจึงนำสารสกัดที่ได้มาระเหยเอาก๊าซออกมาที่อุณหภูมิห้อง ทำให้น้ำมันหอมระเหยไม่ถูกทำลายโครงสร้างด้วยความร้อน |
|